ประวัติความเป็นมาของชนเผ่าปลัง
ชนเผ่าปลังหรือปลั่ง (Plang
) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยเก่าแก่ชนเผ่าหนึ่งในมลฑลยูนานของจีน
มีกำเนิดย้อนไปถึงสมัยราชวงศ์ฮั่นเมื่อประมาณ 206-220 ปี ก่อนคริสตกาล
ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในท้องที่ตามเทือกเขาแห่งเขตปกครองอิสระเม็งไห่ในแคว้นสิบสองปันนา
โดยเฉพาะเขตภูเขาปูลังชานซึ่งมีชื่อสอดคล้องกับนามของชนเผ่าปลัง
สถิติในปี ค.ศ.2000 มีชาวปลางในประเทศจีน 91,822 คน สันนิษฐานว่า ชาวปลังบางส่วนได้เคลื่อนย้ายเข้าไปยังพม่าและมีศูนย์กลางชุมชน ปลังในเขตรัฐฉานของพม่าทางชายแดนจีนมีการตั้งหมู่บ้านกว่า40หมู่บ้านอยู่ท่ามกลางชนเผ่าอื่นๆจากการสำรวจของ Joshua Project
เมื่อไม่นานมานี้ ได้ให้ข้อมูลว่ามีชาวปลัง อยู่ทางรัฐฉานตอนใต้ของพม่าจำนวน 13,000 คน ขณะที่มีชาวปลังในทุกประเทศจำนวนรวม 111,000 คน
ส่วนในประเทศไทยไม่มีการสำรวจสถิติที่แน่นอน จากการสัมภาษณ์ชาวปลังได้ให้ข้อมูลว่า
ทางราชการและนักวิชาการบางสำนักมักนับพวกเขาเป็นชาว “ปะหล่อง” ที่อยู่ทางอำเภอแม่จันและแม่สาย จังหวัดเชียงราย
เนื่องจากถิ่นฐานของชาวปลังในประเทศพม่าอยู่ในพื้นที่ป่าเขาที่มีการสู้รบระหว่างรัฐไทยใหญ่และชนกลุ่มน้อยกับรัฐบาลกลางของพม่า
ทำให้ชาวปลังต้องประสบกับความเดือดร้อนจากปัญหาสงคราม
การถูกกดขี่ข่มเหงต่างๆนานา ประกอบกับความยากลำบากในการทำมาหาเลี้ยงชีพและการดำรงชีวิตประจำวันเนื่องจากสงครามและสภาพแวดล้อมอื่นๆ
ทำให้มีชาวปลางหนีภัยไปอยู่ในแหล่งที่คิดว่ามีความปลอดภัย โดยในปี ค.ศ.1977
เกิดความขัดแย้ง
มีการสู้รบระหว่างกองทหารของรัฐบาลพม่ากับของชนกลุ่มน้อยที่มีความรุนแรงมากขึ้น
ชาวปลังงต้องถูกบังคับให้รับผิดชอบในการเลี้ยงดูสนับสนุนกองทหารของรัฐบาลพม่า
หรือกองทหารของชนกลุ่มน้อยที่เข้ามามีอิทธิพลในหมู่บ้านของชาวปลัง ทำให้ชาวปลัง ต้องโยกย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ระหว่างชายแดน
ไทย-พม่า เฉพาะอย่างยิ่งในเขตจังหวัดเชียงราย
ซึ่งการเดินทางเล็ดลอดเข้ามายังประเทศไทยนั้นถึงแม้จะต้องฟันฝ่า
กับภัยอันตรายรอบด้าน แต่ส่วนใหญ่คิดว่า “ไปตายเอาดาบหน้า” ดีกว่าต้องทุกข์ทนกับสภาพการณ์อันเลวร้ายอย่างไม่มีอนาคต การสุ่มเสี่ยงนี้นับว่าคุ้มค่าดังที่มีชาวปลังหลายคนกล่าวว่า “ถ้าไม่ได้เข้ามาอยู่ในเมืองไทยลูกหลานก็คงจะตายกันหมดแล้ว” ช่วงระหว่าง ค.ศ.1990-2000 นับว่ามีชาวปลังอพยพเข้ามายังประเทศไทยมากที่สุด ซึ่งจากคำบอกเล่ากล่าวว่า นายแก้ว
แสงสุรีย์ (สมาชิกอาวุโสของศาลาธรรมคริสเตียนปลัง นครปฐม) เป็นชาวปลังที่เข้ามายังประเทศไทยคนแรกๆ
จากนั้นก็มีญาติพี่น้องและคนในหมู่บ้านอพยพตามเข้ามา ในสมัยนั้นยังไม่ค่อยมีการเข้มงวดกวดขันเกี่ยวกับการเข้าออกชายแดนนักหรือบางครั้งต้องจ่ายเงินสินบนเป็นเบี้ยใบ้รายทางให้กับเจ้าหน้าที่จึงสามารถผ่านด่านชายแดนและเส้นทางหลบหนีได้
ระบบครอบครัวของชนเผ่าปลัง
ชนเผ่าปลังมีระบบครอบครัวแบบขยายคือมีปู่ย่าตายายพ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน
บางครัวเรือนจะอยู่รวมกัน 2-3 ครอบครัว
แต่เนื่องจากสภาพของการขาดแคลนที่ทำดินกินและต้องแผ้วถางที่ทำไร่แบบเลื่อนลอย
ทำให้มีการจัดตั้งหมูบ้านแบบกระจัดกระจาย ลักษณะครอบครัวที่ชัดเจนประการหนึ่งคือ
ชนเผ่าปลังให้การนับถือบิดามารดาอย่างสูง
ดังมีคำสอนที่ตกทอดต่อมาว่าหนุ่มสาวต้องออกไปทำไร่ทำนา
ตอนกลับบ้านต้องเก็บผักมาด้วย
และเวลากินข้าวต้องตักข้าวให้พ่อแม่ก่อนเพราะถือว่าพ่อแม่คือพระเจ้า
ระบบอาชีพของชนเผ่าปลัง
ชาวปลังประกอบอาชีพปลูกพืชเลื่อนลอยแบบย้ายถิ่นและล่าสัตว์ โดยเฉพาะการเพาะปลูกชาวบ้านจะบุกเบิกที่ดินทำไร่ในที่แห่งหนึ่ง
ปีแรกจะปลูกฝ้าย ปีที่สองปลูกปลูกข้าว หลังจากนั้นจะทิ้งไว้ประมาณสองปี
และต้องหาไร่เพาะปลูกใหม่แล้วจึงกลับมาที่เดิม พืชไร่ที่สำคัญคือข้าว ถั่ว
มันสำปะหลัง พริกและงา เครื่องมือทำไร่ได้แก่มีดและจอบที่ซื้อจากประเทศจีน
ผลผลิตที่ได้บางส่วนนำไปขายที่ประเทศจีนและซื้อสิ่งของเครื่องใช้จากประเทศจีนกลับมาฝากพี่น้องในครอบครัว
ได้แก่เกลือ ไม้ขีดไฟ ผ้า และขนมต่างๆ
วิถีชีวิตและสังคม
ชนเผ่าปลังมีความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย
การสร้างบ้านส่วนใหญ่ทำด้วยไม้ไผ่ มุงหญ้าคา
ทุกเช้าชาวบ้านจะตื่นประมาณตีสี่ตีห้าเพื่อตำข้าวเนื่องจากบ้านหนึ่งๆอยู่กันหลายครอบครัว
จึงมีเสียงตำข้าวตอนเช้าทุกวัน
พวกเขาต้องตื่นมาตักน้ำเตรียมอาหารพร้อมสำหรับการออกไปทำไร่ เมื่อตะวันขึ้นชาวบ้านจะทยอยออกไปทำภารกิจต่างๆ
ของตนเองยามเย็นก่อนตะวันลับฟ้าบ้างก็กลับจากที่ทำงานและบางคนค้างคืนในไร่บางครอบครัวพาสมาชิกของรอบครัวไปทั้งหมด
ขณะที่บางครอบครัวทิ้งลูกๆให้ผู้สูงอายุในครอบครัวที่ไม่สามารถทำงานหนักได้เป็นผู้ดูแลอย่างไรก็ตามในสภาวะสงครามระหว่างรัฐบาลกลางของพม่ากับกองกำลังของชนกลุ่มน้อยที่ต่อสู้เพื่อการเป็นอิสระปกครองตนเอง
ทำให้ชาวปลัง
ต้องประสบความยากลำบากในการดำเนินชีวิต
เนื่องจากต้องตกเป็นเหยื่อของสงครามในรูปแบบต่างๆ
บางครั้งต้องหนีไปซุกซ่อนตัวจากกองทหารของแต่ละฝ่าย บางทีบ้านเรือนถูกเผาทำลาย
ต้องกลับมาเริ่มต้นช่วยกันสร้างใหม่ และเมื่อชาวปลังหลบหนีเข้ามาในประเทศไทย จะมุ่งเน้นการทำงานเพื่อความอยู่รอดทำให้ไม่ค่อยมีการรวมตัวกันเป็นชุมชน
กระทั่งมีการทำกิจกรรมของคริสตจักรสามแยก จังหวัดนครปฐม ที่ชักชวนให้คริสเตียนชาว
ปลังรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนขึ้น
และพัฒนาเป็นศาลาธรรมปลังนครปฐม ต่อมา
จึงเกิดชุมชนชาวปลังที่เป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น
ระบบความเชื่อในเผ่า
ระบบความเชื่อของชนเผ่าปลังมีผู้นับถือศาสนาพุทธเป็นหลักประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ และมีผู้นับถือศาสนาคริสต์จำนวน 2 เปอร์เซ็นต์ แต่ขณะเดียวกัน
ความเชื่อเรื่องผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติที่เป็นความเชื่อดั้งเดิมยังคงมีอิทธิพลสืบทอดต่อมาอยู่ไม่น้อย
เช่นการนับถือผีบรรพบุรุษ ผีป่าผีเขา ผีบ้านผีเรือน
เป็นต้น ภาพโดยทั่วไปจะเห็นได้ว่า หมู่บ้านต่างๆของชนเผ่าปลังนับถือพุทธศาสนา
ทุกหมู่บ้านจะมีวัดประจำหมู่บ้าน มีพระเณรอยู่ประจำวัด
โดยส่วนหนึ่งบวชเรียนตามหลักความเชื่อในการสืบทอดพระศาสนาแต่บางส่วนเข้ามาบวชเพื่อหลบหนีการถูกเกณฑ์เป็นทหารของกองกำลังต่างๆ
ถึงกระนั้นก็ตามเมื่อมีการสู้รบบางครั้งพระเณรก็ไม่เว้นที่จะถูกเกณฑ์เช่นเดียวกัน
ส่วนชีวิตในวัดไม่ได้แยกแบบสันโดษเพราะเมื่อชาวบ้านปลูกข้าวหรือเก็บเกี่ยวพระสงฆ์และสามเณรก็ออกไปช่วยชาวบ้านด้วย
การเข้ามาของคริสต์ศาสนาสู่ชาวปลังโดยผู้เผยแผ่คริสต์ศาสนาชนเผ่าลาหู่ในพม่า
ทำให้ชาว
ปลังบางส่วนหันมานับถือคริสต์ศาสนา
และรวมกันเป็นชุมชนชาวคริสต์ เช่นที่บ้านก่อในเขตพม่าสืบทอดมานับร้อยปีแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม
การนับถือคริสต์ศาสนาของชาวปลังยังคงมีอิทธิพลของความเชื่อแบบดั้งเดิมแฝงอยู่
เนื่องจากภายหลังการรับเชื่อเป็นคริสเตียน มีคริสเตียนชาวปลางบางกลุ่มยังคงรักษาความเชื่อดั้งเดิมและวิธีปฏิบัติไว้จนบางครั้งแยกไม่ออกว่าเป็นคริสเตียนหรือเป็นผู้ที่มีความเชื่อแบบดั้งเดิม
วัฒนธรรมประเพณีของชนเผ่าปลัง
ชนเผ่าปลางมีภาพูดที่ถ่ายทอดกันมาแต่ไม่มีภาษาเขียนของตนเอง
และการสื่อภาษามักจะใช้ภาษาลาหู่เป็นภาษากลาง
ดังนั้นคนลาหู่จึงสามารถพูดคุยสื่อสารกับชาวปลังได้
และเนื่องจากความเป็นชนเผ่าเล็กน้อยทำให้ชาว
ปลังมีปัญหาในการรักษาวัฒนธรรมและภาษาของตน
เมื่อเข้าไปอยู่ในกลุ่มชนเผ่าใดมักจะรับเอาวัฒนธรรมและภาษาของชนเผ่านั้นมาใช้ เช่น
ไทใหญ่ และลาหู่ เป็นต้น การเข้าไปอาศัยอยู่ในสังคมวัฒนธรรมอื่นชาวปลังมักจะซึมซับรับเอาวัฒนธรรมอื่นกระทั่งแทบไม่เหลือความเป็นชนเผ่าปลางที่ชัดเจน
แต่เมื่อไม่นานมานี้
มีมิชชันนารีตะวันตกและนักวิชาการภาษาศาสตร์ชาวลาหู่ร่วมกับชาวปลังจัดทำภาษาเขียนโดยใช้อักษรโรมันในการเขียน
จึงเป็นตัวหนังสือเหมือนกับบางชนเผ่าที่ไม่เคยมีภาษาเขียนของตนเองมาก่อน
ทำให้ชาวปลังมีโอกาสถ่ายทอดวัฒนธรรมผ่านการสื่อแบบลายลักษณ์อักษรได้อย่างเป็นระบบขึ้น
วัฒนธรรมด้านการแต่งกายของชาวปลัง ผู้หญิงใช้ผ้าสีดำที่ทอจากฝ้ายและย้อมสีจากเปลือกไม้บางชนิด
เครื่องนุ่งห่มที่ใช้มีความใกล้เคียงกับชนเผ่าลาหู่
และยังมีประเพณีรวมสมาชิกของครอบครัวเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและสังคมในวันที่
31 ธันวาคม ถือเป็นการเตรียมตัวสำหรับปีใหม่
มีการเตรียมบ้านเรือนและเตรียมตัวในการเฉลิมฉลอง โดยเฉพาะการทำข้าวปุ๊ก (ข้าวตำ)
เนื้อหมู เป็นอาหารว่างสำหรับทุกครอบครัว มีการทำความสะอาดบ้านเรือน
เตรียมผ้าใหม่ใส่ในวันเฉลิมฉลองปีใหม่ซึ่งเป็นการแสดงถึงสิ่งเก่าๆที่เลวร้ายได้ผ่านพ้นไป
ชื่อกลุ่มชาติพันธุ์
Ø ชื่อที่เรียกตัวเอง ความหมาย
ชาวปลางเรียกตัวเองว่า “คาปาง” (Hka
pang) หมายถึง ข้างบน เพราะชาวปลางอาศัยอยู่ในพื้นที่สูงห่างไกลจากตัวเมืองและเป็นที่ๆ
สงบท่ามกลางธรรมชาติ
Ø ชื่อที่คนอื่นเรียก หรือชื่อทั่วไป ความหมาย
จีนเรียกชาวปลางว่า “ปางชุง” (Pang
chung) ส่วนชาวไทใหญ่เรียกชาวปลังว่า “คนดอย” เพราะอยู่บนพื้นที่สูง และเมื่อเข้ามาในประเทศไทยคนไทยเรียกชาวปลางว่า “ชาวพม่า” หรือบางครั้งเรียก “ชาวเขา” เพราะเป็นกลุ่มชนที่อยู่บนพื้นที่สูงของประเทศ และเมื่อขอเอกสารทางราชการ (บัตร)
ก็ไม่สามารถพิสูจน์หลักฐานได้ว่าเป็นสัญชาติอะไร ดังนั้นจึงได้ใช้คำว่า “บุคคลไร้สัญชาติ” และแม้แต่ชนเผ่าต่างๆ
ที่ได้สัญชาติแล้วก็มักจะเรียกว่า “ชาวไทยภูเขา” ซึ่งบ่งบอกถึงสภาพความเป็นอยู่
ประวัติความเป็นมา
Ø ตำนานและเรื่องเล่าเกี่ยวกับการกำเนิดกลุ่มชาติพันธุ์ตนเอง
เมื่อนานมาแล้วชาวว้าที่อยู่ในประเทศจีนได้อพยพมาเข้ามาประเทศพม่า และเมื่อมาถึงก็ประสบกับภัยสงครามมีการข่มเหง บีบบังคับและเกณฑ์ประชาชน ในช่วงเวลานี้ชาวไทใหญ่หรือไทลื้อเป็นกองกำลังที่มีอำนาจและกำลังรบกับพม่า เมื่อไทใหญ่จับชาวว้าได้ก็จะถามว่า “เป็นชาวอะไร ” และชาวว้าเหล่านี้ก็ตอบว่าเป็นชาวปลาง ความหมายของคำว่าปลางคือข้างบน ที่ตอบเช่นนี้เพราะถ้าตอบว่าเป็นว่าชาวไทยใหญ่ก็จะฆ่าทันที
Ø ประวัติการอพยพและการตั้งถิ่นฐาน
เริ่มแรกเริ่มต้นที่ประเทศจีน และอพยพลงมาเรื่อยๆ มาที่ประเทศพม่า เมื่อเกิดความขัดแย้งทางการเมืองทำให้เกิดการข่มเหงและในที่สุดก็เข้ามาในประเทศไทย
Ø กระจายตัวของชุมชนและประชากรในประเทศไทย
ปัจจุบันชาวปลังอาศัยอยู่ที่อำเภอแม่จันและบางส่วนก็ลงมาทำงานในจังหวัดนครปฐม เพราะเนื่องจากชาว
ปลังที่มาทำงานในประเทศไทยนั้นส่วนใหญ่จะได้รับการแนะนำจากญาติหรือเพื่อน และเมื่อได้ชักชวนกันมาทำงานก็มักจะอยู่ร่วมกันหลายๆ
คน
ระบบครอบครัวและเครือญาติ
ในบ้านหลังหนึ่งๆ
จะมีสมาชิกครัวสามถึงสี่ครอบครัวอยู่ร่วมกัน และภายในหมู่บ้านก็จะประกอบไปด้วยญาติพี่น้อง ส่วนใหญ่ญาติพี่น้องจะอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เมื่อมีการย้ายก็ย้ายกันหลายครอบครัวในครั้งเดียว
โครงสร้างการปกครองและสังคม
ชาวปลางชอบความสงบสุขและใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ ภายในหมู่บ้านก็จะมีหัวหน้าหมู่บ้านที่คอยดูแลลูกบ้าน และที่สำคัญคือหัวหน้าหมู่บ้านต้องรู้อย่างน้อยสามภาษาคือ ภาษาไทยใหญ่ ภาษาพม่า ภาษาว้า เพราะเมื่อมีทหารของกลุ่มใดเข้ามาในหมู่บ้านหัวหน้าหมู่บ้านก็ต้องพูดกับทหารภาษานั้นๆ
หากพูดไม่ได้ก็จะทำการลงโทษ ขณะที่อยู่ในประเทศพม่าก็อยู่ภายใต้การปกครองของพม่า ไทใหญ่และว้า
ความเชื่อ ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ
เริ่มแรกชาวปลางเชื่อในผีเจ้าป่าเจ้าเขา ผีบ้านผีเรือน เมื่อเกิดเจ็บป่วยขึ้นผู้ที่จะช่วยได้คือหมอผี และบางครั้งหมอผีก็เรียกร้องข้าวสาร เงินทองทำให้เป็นภาระของชาวบ้าน เพราะทั้งๆ
ที่ชาวบ้านไม่มีจะกินจะดื่มก็ต้องหาสิ่งต่างๆ ที่หมอผีบอก มีการเซ่นไหว้ขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขาที่ได้เปลี่ยนไปทำให้หลายครั้งก็เกิดความสับสนในความเชื่อดั้งเดิมของตนเองและวิธีกรรมทางศาสนาของพุทธ และเมื่อประมาณร้อยปีที่ผ่านมาชาวปลางคนแรกก็ได้นับถือคริสตศาสนาและหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีชาวปลางที่นับถือศาสนาคริสต์เพิ่มมากขึ้น
การทำมาหากิน และวิถีการผลิตพื้นบ้าน
อาชีพของชาวปลังคือทำไร่ปลูกฝ้าย ข้าว ข้าวโพด พริก งา หลังจากเก็บเกี่ยวผลิตแล้วบางส่วนเก็บไว้ และบางส่วนก็นำไปขายที่ประเทศจีน ชาวบ้านจะมีโอกาสไปประเทศจีนปีละสองครั้งเพื่อนำผลผลิตไปขาย และหลังจากนั้นก็ซื้อเกลือ ไม้ขีดไฟและขนมกลับมาฝากลูกหลานที่บ้าน
มรดกทางวัฒนธรรม
Ø อาหาร
อาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวปลังคือข้าวต้มและพริกตำ เนื่องจากชาวปลังอาศัยอยู่ตามภูเขาสูงที่ห่างไกลจากตัวเมืองและถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเป็นเหตุให้เผชิญกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ
เช่น การขาดแคลนอาหาร เพราะบางปีพืชไร่ที่ปลูกไม่พอต่อสมาชิกในครอบครัวก็ต้องไปหาพืชผักในป่ามาต้มรวมกับข้าวสารเพื่อประทันชีวิตในแต่ละวัน จะถือได้ว่าข้าวต้มเป็นอาหารที่ขาดไม่ได้สำหรับชาวปลางแม้ในขณะที่อยู่ในประเทศไทยแล้วก็ตาม เพราะจะสื่อถึงความเป็นชาวปลังอย่างแท้จริง บางครั้งในการหุงอาหารนั้นก็ต้องหุงรวมกับเผือกป่า ข้าวโพด เปลือกมะขามป้อมและผักต่างๆ
เพื่อจะเพียงพอต่อสมาชิกในครอบครัว
Ø งานช่างฝีมือ
ตะกร้าไม้ไผ่ เข่งไม้ไผ่ มีด ขวาน เคียว เหล่านี้เป็นอุปกรณ์การเกษตรที่จำเป็นและสำคัญที่ทุกครัวเรือนมี ส่วนอุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นเหล็กนั้นก็มีช่างตีมีด ขวานและเคียวประจำหมู่บ้าน
Ø เครื่องแต่งกาย
ชาวปลางทุกครัวเรือนปลูกฝ้ายเพื่อเตรียมดินที่จะปลูกข้าวในปีต่อไป และนำฝ้ายที่ได้นั้นมาทำเป็นเสื้อผ้า ผ้าห่ม หรือกระสอบที่จะบรรจุข้าวเปลือก ส่วนสีของเนื้อผ้านั้นจะใช้เปลือกไม้ตามธรรมชาติมาย้อมเป็นสีดำ และเสริมลายต่างๆ
Ø ศิลปะการแสดง บทเพลงและดนตรี
การเต้นรำ การขับร้องชายและหญิง ซึง กลอง โมง ฉาบ การเต้นรำของชาวปลางจะเต้นช่วงปีใหม่ วันปีใหม่เป็นวันที่ชาวบ้านจะเต็มไปด้วยความสุขสนุกสนานเพราะได้พบได้เจอเพื่อนบ้านที่มาร่วมงาน ส่วนบทเพลงนั้นชาวปลังมักจะร้องขณะที่เดินทางไปทำไร่ หรือขณะที่กลับมาจากการทำงาน ร้องบรรยายถึงสภาพความเป็นอยู่ของตน ธรรมชาติ เสียงนกร้องประสาน
สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงและประเด็นปัญหาหลักๆ
ที่กลุ่มชาติพันธุ์ตนเองประสบอยู่
Ø สิทธิในการอยู่ในประเทศ/บัตร เด็กๆ ที่เกิดในประเทศไม่ได้รับสูติบัตร
(ใบเกิด)
Ø การถูกเอารัดเอาเปรียบ การถูกข่มเหง (ทั้งในประเทศไทยและที่อื่นๆ) เป็นปัญหาของชาวปลังเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็มักจะถูกข่มเหงและเอารัดเอาเปรียบอยู่เสมอ
Ø การศึกษา เนื่องจากความเป็นอยู่ที่ห่างไกลความเจริญ อีกทั้งไม่มีหน่วยงานใดที่สนับสนุนในด้านนี้จึงทำให้ขาดการพัฒนาในด้านต่างๆ
อีกทั้งบรรดาผู้ปกครองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าที่ควรในการสนับสนุนบุตรหลานของตนไปโรงเรียน
ชื่อ ที่อยู่และที่ติดต่อของผู้ให้ข้อมูล
คริสตจักรปลังนครปฐม 145 หมู่ 3 ต.นราภิรมย์ อ.บางเลน จ.นครปฐม 73130
(
ผป.ประสิทธิ์ ธงทัศวรรธนะ
)
ประธานธรรมกิจคริสตจักรภาคที่ 11
แห่งมูลนิธิสภาคริสตจักรในประเทศไทย
ประวัติความเป็นมาของชนเผ่าปลัง
ชนเผ่าปลังหรือปลั่ง (Plang
) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยเก่าแก่ชนเผ่าหนึ่งในมลฑลยูนานของจีน
มีกำเนิดย้อนไปถึงสมัยราชวงศ์ฮั่นเมื่อประมาณ 206-220 ปี ก่อนคริสตกาล
ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในท้องที่ตามเทือกเขาแห่งเขตปกครองอิสระเม็งไห่ในแคว้นสิบสองปันนา
โดยเฉพาะเขตภูเขาปูลังชานซึ่งมีชื่อสอดคล้องกับนามของชนเผ่าปลัง
สถิติในปี ค.ศ.2000 มีชาวปลางในประเทศจีน 91,822 คน สันนิษฐานว่า ชาวปลังบางส่วนได้เคลื่อนย้ายเข้าไปยังพม่าและมีศูนย์กลางชุมชน ปลังในเขตรัฐฉานของพม่าทางชายแดนจีนมีการตั้งหมู่บ้านกว่า40หมู่บ้านอยู่ท่ามกลางชนเผ่าอื่นๆจากการสำรวจของ Joshua Project
เมื่อไม่นานมานี้ ได้ให้ข้อมูลว่ามีชาวปลัง อยู่ทางรัฐฉานตอนใต้ของพม่าจำนวน 13,000 คน ขณะที่มีชาวปลังในทุกประเทศจำนวนรวม 111,000 คน
ส่วนในประเทศไทยไม่มีการสำรวจสถิติที่แน่นอน จากการสัมภาษณ์ชาวปลังได้ให้ข้อมูลว่า
ทางราชการและนักวิชาการบางสำนักมักนับพวกเขาเป็นชาว “ปะหล่อง” ที่อยู่ทางอำเภอแม่จันและแม่สาย จังหวัดเชียงราย
เนื่องจากถิ่นฐานของชาวปลังในประเทศพม่าอยู่ในพื้นที่ป่าเขาที่มีการสู้รบระหว่างรัฐไทยใหญ่และชนกลุ่มน้อยกับรัฐบาลกลางของพม่า
ทำให้ชาวปลังต้องประสบกับความเดือดร้อนจากปัญหาสงคราม
การถูกกดขี่ข่มเหงต่างๆนานา ประกอบกับความยากลำบากในการทำมาหาเลี้ยงชีพและการดำรงชีวิตประจำวันเนื่องจากสงครามและสภาพแวดล้อมอื่นๆ
ทำให้มีชาวปลางหนีภัยไปอยู่ในแหล่งที่คิดว่ามีความปลอดภัย โดยในปี ค.ศ.1977
เกิดความขัดแย้ง
มีการสู้รบระหว่างกองทหารของรัฐบาลพม่ากับของชนกลุ่มน้อยที่มีความรุนแรงมากขึ้น
ชาวปลังงต้องถูกบังคับให้รับผิดชอบในการเลี้ยงดูสนับสนุนกองทหารของรัฐบาลพม่า
หรือกองทหารของชนกลุ่มน้อยที่เข้ามามีอิทธิพลในหมู่บ้านของชาวปลัง ทำให้ชาวปลัง ต้องโยกย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ระหว่างชายแดน
ไทย-พม่า เฉพาะอย่างยิ่งในเขตจังหวัดเชียงราย
ซึ่งการเดินทางเล็ดลอดเข้ามายังประเทศไทยนั้นถึงแม้จะต้องฟันฝ่า
กับภัยอันตรายรอบด้าน แต่ส่วนใหญ่คิดว่า “ไปตายเอาดาบหน้า” ดีกว่าต้องทุกข์ทนกับสภาพการณ์อันเลวร้ายอย่างไม่มีอนาคต การสุ่มเสี่ยงนี้นับว่าคุ้มค่าดังที่มีชาวปลังหลายคนกล่าวว่า “ถ้าไม่ได้เข้ามาอยู่ในเมืองไทยลูกหลานก็คงจะตายกันหมดแล้ว” ช่วงระหว่าง ค.ศ.1990-2000 นับว่ามีชาวปลังอพยพเข้ามายังประเทศไทยมากที่สุด ซึ่งจากคำบอกเล่ากล่าวว่า นายแก้ว
แสงสุรีย์ (สมาชิกอาวุโสของศาลาธรรมคริสเตียนปลัง นครปฐม) เป็นชาวปลังที่เข้ามายังประเทศไทยคนแรกๆ
จากนั้นก็มีญาติพี่น้องและคนในหมู่บ้านอพยพตามเข้ามา ในสมัยนั้นยังไม่ค่อยมีการเข้มงวดกวดขันเกี่ยวกับการเข้าออกชายแดนนักหรือบางครั้งต้องจ่ายเงินสินบนเป็นเบี้ยใบ้รายทางให้กับเจ้าหน้าที่จึงสามารถผ่านด่านชายแดนและเส้นทางหลบหนีได้
ระบบครอบครัวของชนเผ่าปลัง
ชนเผ่าปลังมีระบบครอบครัวแบบขยายคือมีปู่ย่าตายายพ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน
บางครัวเรือนจะอยู่รวมกัน 2-3 ครอบครัว
แต่เนื่องจากสภาพของการขาดแคลนที่ทำดินกินและต้องแผ้วถางที่ทำไร่แบบเลื่อนลอย
ทำให้มีการจัดตั้งหมูบ้านแบบกระจัดกระจาย ลักษณะครอบครัวที่ชัดเจนประการหนึ่งคือ
ชนเผ่าปลังให้การนับถือบิดามารดาอย่างสูง
ดังมีคำสอนที่ตกทอดต่อมาว่าหนุ่มสาวต้องออกไปทำไร่ทำนา
ตอนกลับบ้านต้องเก็บผักมาด้วย
และเวลากินข้าวต้องตักข้าวให้พ่อแม่ก่อนเพราะถือว่าพ่อแม่คือพระเจ้า
ระบบอาชีพของชนเผ่าปลัง
ชาวปลังประกอบอาชีพปลูกพืชเลื่อนลอยแบบย้ายถิ่นและล่าสัตว์ โดยเฉพาะการเพาะปลูกชาวบ้านจะบุกเบิกที่ดินทำไร่ในที่แห่งหนึ่ง
ปีแรกจะปลูกฝ้าย ปีที่สองปลูกปลูกข้าว หลังจากนั้นจะทิ้งไว้ประมาณสองปี
และต้องหาไร่เพาะปลูกใหม่แล้วจึงกลับมาที่เดิม พืชไร่ที่สำคัญคือข้าว ถั่ว
มันสำปะหลัง พริกและงา เครื่องมือทำไร่ได้แก่มีดและจอบที่ซื้อจากประเทศจีน
ผลผลิตที่ได้บางส่วนนำไปขายที่ประเทศจีนและซื้อสิ่งของเครื่องใช้จากประเทศจีนกลับมาฝากพี่น้องในครอบครัว
ได้แก่เกลือ ไม้ขีดไฟ ผ้า และขนมต่างๆ
วิถีชีวิตและสังคม
ชนเผ่าปลังมีความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย
การสร้างบ้านส่วนใหญ่ทำด้วยไม้ไผ่ มุงหญ้าคา
ทุกเช้าชาวบ้านจะตื่นประมาณตีสี่ตีห้าเพื่อตำข้าวเนื่องจากบ้านหนึ่งๆอยู่กันหลายครอบครัว
จึงมีเสียงตำข้าวตอนเช้าทุกวัน
พวกเขาต้องตื่นมาตักน้ำเตรียมอาหารพร้อมสำหรับการออกไปทำไร่ เมื่อตะวันขึ้นชาวบ้านจะทยอยออกไปทำภารกิจต่างๆ
ของตนเองยามเย็นก่อนตะวันลับฟ้าบ้างก็กลับจากที่ทำงานและบางคนค้างคืนในไร่บางครอบครัวพาสมาชิกของรอบครัวไปทั้งหมด
ขณะที่บางครอบครัวทิ้งลูกๆให้ผู้สูงอายุในครอบครัวที่ไม่สามารถทำงานหนักได้เป็นผู้ดูแลอย่างไรก็ตามในสภาวะสงครามระหว่างรัฐบาลกลางของพม่ากับกองกำลังของชนกลุ่มน้อยที่ต่อสู้เพื่อการเป็นอิสระปกครองตนเอง
ทำให้ชาวปลัง
ต้องประสบความยากลำบากในการดำเนินชีวิต
เนื่องจากต้องตกเป็นเหยื่อของสงครามในรูปแบบต่างๆ
บางครั้งต้องหนีไปซุกซ่อนตัวจากกองทหารของแต่ละฝ่าย บางทีบ้านเรือนถูกเผาทำลาย
ต้องกลับมาเริ่มต้นช่วยกันสร้างใหม่ และเมื่อชาวปลังหลบหนีเข้ามาในประเทศไทย จะมุ่งเน้นการทำงานเพื่อความอยู่รอดทำให้ไม่ค่อยมีการรวมตัวกันเป็นชุมชน
กระทั่งมีการทำกิจกรรมของคริสตจักรสามแยก จังหวัดนครปฐม ที่ชักชวนให้คริสเตียนชาว
ปลังรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนขึ้น
และพัฒนาเป็นศาลาธรรมปลังนครปฐม ต่อมา
จึงเกิดชุมชนชาวปลังที่เป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น
ระบบความเชื่อในเผ่า
ระบบความเชื่อของชนเผ่าปลังมีผู้นับถือศาสนาพุทธเป็นหลักประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ และมีผู้นับถือศาสนาคริสต์จำนวน 2 เปอร์เซ็นต์ แต่ขณะเดียวกัน
ความเชื่อเรื่องผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติที่เป็นความเชื่อดั้งเดิมยังคงมีอิทธิพลสืบทอดต่อมาอยู่ไม่น้อย
เช่นการนับถือผีบรรพบุรุษ ผีป่าผีเขา ผีบ้านผีเรือน
เป็นต้น ภาพโดยทั่วไปจะเห็นได้ว่า หมู่บ้านต่างๆของชนเผ่าปลังนับถือพุทธศาสนา
ทุกหมู่บ้านจะมีวัดประจำหมู่บ้าน มีพระเณรอยู่ประจำวัด
โดยส่วนหนึ่งบวชเรียนตามหลักความเชื่อในการสืบทอดพระศาสนาแต่บางส่วนเข้ามาบวชเพื่อหลบหนีการถูกเกณฑ์เป็นทหารของกองกำลังต่างๆ
ถึงกระนั้นก็ตามเมื่อมีการสู้รบบางครั้งพระเณรก็ไม่เว้นที่จะถูกเกณฑ์เช่นเดียวกัน
ส่วนชีวิตในวัดไม่ได้แยกแบบสันโดษเพราะเมื่อชาวบ้านปลูกข้าวหรือเก็บเกี่ยวพระสงฆ์และสามเณรก็ออกไปช่วยชาวบ้านด้วย
การเข้ามาของคริสต์ศาสนาสู่ชาวปลังโดยผู้เผยแผ่คริสต์ศาสนาชนเผ่าลาหู่ในพม่า
ทำให้ชาว
ปลังบางส่วนหันมานับถือคริสต์ศาสนา
และรวมกันเป็นชุมชนชาวคริสต์ เช่นที่บ้านก่อในเขตพม่าสืบทอดมานับร้อยปีแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม
การนับถือคริสต์ศาสนาของชาวปลังยังคงมีอิทธิพลของความเชื่อแบบดั้งเดิมแฝงอยู่
เนื่องจากภายหลังการรับเชื่อเป็นคริสเตียน มีคริสเตียนชาวปลางบางกลุ่มยังคงรักษาความเชื่อดั้งเดิมและวิธีปฏิบัติไว้จนบางครั้งแยกไม่ออกว่าเป็นคริสเตียนหรือเป็นผู้ที่มีความเชื่อแบบดั้งเดิม
วัฒนธรรมประเพณีของชนเผ่าปลัง
ชนเผ่าปลางมีภาพูดที่ถ่ายทอดกันมาแต่ไม่มีภาษาเขียนของตนเอง
และการสื่อภาษามักจะใช้ภาษาลาหู่เป็นภาษากลาง
ดังนั้นคนลาหู่จึงสามารถพูดคุยสื่อสารกับชาวปลังได้
และเนื่องจากความเป็นชนเผ่าเล็กน้อยทำให้ชาว
ปลังมีปัญหาในการรักษาวัฒนธรรมและภาษาของตน
เมื่อเข้าไปอยู่ในกลุ่มชนเผ่าใดมักจะรับเอาวัฒนธรรมและภาษาของชนเผ่านั้นมาใช้ เช่น
ไทใหญ่ และลาหู่ เป็นต้น การเข้าไปอาศัยอยู่ในสังคมวัฒนธรรมอื่นชาวปลังมักจะซึมซับรับเอาวัฒนธรรมอื่นกระทั่งแทบไม่เหลือความเป็นชนเผ่าปลางที่ชัดเจน
แต่เมื่อไม่นานมานี้
มีมิชชันนารีตะวันตกและนักวิชาการภาษาศาสตร์ชาวลาหู่ร่วมกับชาวปลังจัดทำภาษาเขียนโดยใช้อักษรโรมันในการเขียน
จึงเป็นตัวหนังสือเหมือนกับบางชนเผ่าที่ไม่เคยมีภาษาเขียนของตนเองมาก่อน
ทำให้ชาวปลังมีโอกาสถ่ายทอดวัฒนธรรมผ่านการสื่อแบบลายลักษณ์อักษรได้อย่างเป็นระบบขึ้น
วัฒนธรรมด้านการแต่งกายของชาวปลัง ผู้หญิงใช้ผ้าสีดำที่ทอจากฝ้ายและย้อมสีจากเปลือกไม้บางชนิด
เครื่องนุ่งห่มที่ใช้มีความใกล้เคียงกับชนเผ่าลาหู่
และยังมีประเพณีรวมสมาชิกของครอบครัวเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและสังคมในวันที่
31 ธันวาคม ถือเป็นการเตรียมตัวสำหรับปีใหม่
มีการเตรียมบ้านเรือนและเตรียมตัวในการเฉลิมฉลอง โดยเฉพาะการทำข้าวปุ๊ก (ข้าวตำ)
เนื้อหมู เป็นอาหารว่างสำหรับทุกครอบครัว มีการทำความสะอาดบ้านเรือน
เตรียมผ้าใหม่ใส่ในวันเฉลิมฉลองปีใหม่ซึ่งเป็นการแสดงถึงสิ่งเก่าๆที่เลวร้ายได้ผ่านพ้นไป
ชื่อกลุ่มชาติพันธุ์
Ø ชื่อที่เรียกตัวเอง ความหมาย
ชาวปลางเรียกตัวเองว่า “คาปาง” (Hka
pang) หมายถึง ข้างบน เพราะชาวปลางอาศัยอยู่ในพื้นที่สูงห่างไกลจากตัวเมืองและเป็นที่ๆ
สงบท่ามกลางธรรมชาติ
Ø ชื่อที่คนอื่นเรียก หรือชื่อทั่วไป ความหมาย
จีนเรียกชาวปลางว่า “ปางชุง” (Pang
chung) ส่วนชาวไทใหญ่เรียกชาวปลังว่า “คนดอย” เพราะอยู่บนพื้นที่สูง และเมื่อเข้ามาในประเทศไทยคนไทยเรียกชาวปลางว่า “ชาวพม่า” หรือบางครั้งเรียก “ชาวเขา” เพราะเป็นกลุ่มชนที่อยู่บนพื้นที่สูงของประเทศ และเมื่อขอเอกสารทางราชการ (บัตร)
ก็ไม่สามารถพิสูจน์หลักฐานได้ว่าเป็นสัญชาติอะไร ดังนั้นจึงได้ใช้คำว่า “บุคคลไร้สัญชาติ” และแม้แต่ชนเผ่าต่างๆ
ที่ได้สัญชาติแล้วก็มักจะเรียกว่า “ชาวไทยภูเขา” ซึ่งบ่งบอกถึงสภาพความเป็นอยู่
ประวัติความเป็นมา
Ø ตำนานและเรื่องเล่าเกี่ยวกับการกำเนิดกลุ่มชาติพันธุ์ตนเอง
เมื่อนานมาแล้วชาวว้าที่อยู่ในประเทศจีนได้อพยพมาเข้ามาประเทศพม่า และเมื่อมาถึงก็ประสบกับภัยสงครามมีการข่มเหง บีบบังคับและเกณฑ์ประชาชน ในช่วงเวลานี้ชาวไทใหญ่หรือไทลื้อเป็นกองกำลังที่มีอำนาจและกำลังรบกับพม่า เมื่อไทใหญ่จับชาวว้าได้ก็จะถามว่า “เป็นชาวอะไร ” และชาวว้าเหล่านี้ก็ตอบว่าเป็นชาวปลาง ความหมายของคำว่าปลางคือข้างบน ที่ตอบเช่นนี้เพราะถ้าตอบว่าเป็นว่าชาวไทยใหญ่ก็จะฆ่าทันที
Ø ประวัติการอพยพและการตั้งถิ่นฐาน
เริ่มแรกเริ่มต้นที่ประเทศจีน และอพยพลงมาเรื่อยๆ มาที่ประเทศพม่า เมื่อเกิดความขัดแย้งทางการเมืองทำให้เกิดการข่มเหงและในที่สุดก็เข้ามาในประเทศไทย
Ø กระจายตัวของชุมชนและประชากรในประเทศไทย
ปัจจุบันชาวปลังอาศัยอยู่ที่อำเภอแม่จันและบางส่วนก็ลงมาทำงานในจังหวัดนครปฐม เพราะเนื่องจากชาว
ปลังที่มาทำงานในประเทศไทยนั้นส่วนใหญ่จะได้รับการแนะนำจากญาติหรือเพื่อน และเมื่อได้ชักชวนกันมาทำงานก็มักจะอยู่ร่วมกันหลายๆ
คน
ระบบครอบครัวและเครือญาติ
ในบ้านหลังหนึ่งๆ
จะมีสมาชิกครัวสามถึงสี่ครอบครัวอยู่ร่วมกัน และภายในหมู่บ้านก็จะประกอบไปด้วยญาติพี่น้อง ส่วนใหญ่ญาติพี่น้องจะอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เมื่อมีการย้ายก็ย้ายกันหลายครอบครัวในครั้งเดียว
โครงสร้างการปกครองและสังคม
ชาวปลางชอบความสงบสุขและใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ ภายในหมู่บ้านก็จะมีหัวหน้าหมู่บ้านที่คอยดูแลลูกบ้าน และที่สำคัญคือหัวหน้าหมู่บ้านต้องรู้อย่างน้อยสามภาษาคือ ภาษาไทยใหญ่ ภาษาพม่า ภาษาว้า เพราะเมื่อมีทหารของกลุ่มใดเข้ามาในหมู่บ้านหัวหน้าหมู่บ้านก็ต้องพูดกับทหารภาษานั้นๆ
หากพูดไม่ได้ก็จะทำการลงโทษ ขณะที่อยู่ในประเทศพม่าก็อยู่ภายใต้การปกครองของพม่า ไทใหญ่และว้า
ความเชื่อ ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ
เริ่มแรกชาวปลางเชื่อในผีเจ้าป่าเจ้าเขา ผีบ้านผีเรือน เมื่อเกิดเจ็บป่วยขึ้นผู้ที่จะช่วยได้คือหมอผี และบางครั้งหมอผีก็เรียกร้องข้าวสาร เงินทองทำให้เป็นภาระของชาวบ้าน เพราะทั้งๆ
ที่ชาวบ้านไม่มีจะกินจะดื่มก็ต้องหาสิ่งต่างๆ ที่หมอผีบอก มีการเซ่นไหว้ขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขาที่ได้เปลี่ยนไปทำให้หลายครั้งก็เกิดความสับสนในความเชื่อดั้งเดิมของตนเองและวิธีกรรมทางศาสนาของพุทธ และเมื่อประมาณร้อยปีที่ผ่านมาชาวปลางคนแรกก็ได้นับถือคริสตศาสนาและหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีชาวปลางที่นับถือศาสนาคริสต์เพิ่มมากขึ้น
การทำมาหากิน และวิถีการผลิตพื้นบ้าน
อาชีพของชาวปลังคือทำไร่ปลูกฝ้าย ข้าว ข้าวโพด พริก งา หลังจากเก็บเกี่ยวผลิตแล้วบางส่วนเก็บไว้ และบางส่วนก็นำไปขายที่ประเทศจีน ชาวบ้านจะมีโอกาสไปประเทศจีนปีละสองครั้งเพื่อนำผลผลิตไปขาย และหลังจากนั้นก็ซื้อเกลือ ไม้ขีดไฟและขนมกลับมาฝากลูกหลานที่บ้าน
มรดกทางวัฒนธรรม
Ø อาหาร
อาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวปลังคือข้าวต้มและพริกตำ เนื่องจากชาวปลังอาศัยอยู่ตามภูเขาสูงที่ห่างไกลจากตัวเมืองและถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเป็นเหตุให้เผชิญกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ
เช่น การขาดแคลนอาหาร เพราะบางปีพืชไร่ที่ปลูกไม่พอต่อสมาชิกในครอบครัวก็ต้องไปหาพืชผักในป่ามาต้มรวมกับข้าวสารเพื่อประทันชีวิตในแต่ละวัน จะถือได้ว่าข้าวต้มเป็นอาหารที่ขาดไม่ได้สำหรับชาวปลางแม้ในขณะที่อยู่ในประเทศไทยแล้วก็ตาม เพราะจะสื่อถึงความเป็นชาวปลังอย่างแท้จริง บางครั้งในการหุงอาหารนั้นก็ต้องหุงรวมกับเผือกป่า ข้าวโพด เปลือกมะขามป้อมและผักต่างๆ
เพื่อจะเพียงพอต่อสมาชิกในครอบครัว
Ø งานช่างฝีมือ
ตะกร้าไม้ไผ่ เข่งไม้ไผ่ มีด ขวาน เคียว เหล่านี้เป็นอุปกรณ์การเกษตรที่จำเป็นและสำคัญที่ทุกครัวเรือนมี ส่วนอุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นเหล็กนั้นก็มีช่างตีมีด ขวานและเคียวประจำหมู่บ้าน
Ø เครื่องแต่งกาย
ชาวปลางทุกครัวเรือนปลูกฝ้ายเพื่อเตรียมดินที่จะปลูกข้าวในปีต่อไป และนำฝ้ายที่ได้นั้นมาทำเป็นเสื้อผ้า ผ้าห่ม หรือกระสอบที่จะบรรจุข้าวเปลือก ส่วนสีของเนื้อผ้านั้นจะใช้เปลือกไม้ตามธรรมชาติมาย้อมเป็นสีดำ และเสริมลายต่างๆ
Ø ศิลปะการแสดง บทเพลงและดนตรี
การเต้นรำ การขับร้องชายและหญิง ซึง กลอง โมง ฉาบ การเต้นรำของชาวปลางจะเต้นช่วงปีใหม่ วันปีใหม่เป็นวันที่ชาวบ้านจะเต็มไปด้วยความสุขสนุกสนานเพราะได้พบได้เจอเพื่อนบ้านที่มาร่วมงาน ส่วนบทเพลงนั้นชาวปลังมักจะร้องขณะที่เดินทางไปทำไร่ หรือขณะที่กลับมาจากการทำงาน ร้องบรรยายถึงสภาพความเป็นอยู่ของตน ธรรมชาติ เสียงนกร้องประสาน
สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงและประเด็นปัญหาหลักๆ
ที่กลุ่มชาติพันธุ์ตนเองประสบอยู่
Ø สิทธิในการอยู่ในประเทศ/บัตร เด็กๆ ที่เกิดในประเทศไม่ได้รับสูติบัตร
(ใบเกิด)
Ø การถูกเอารัดเอาเปรียบ การถูกข่มเหง (ทั้งในประเทศไทยและที่อื่นๆ) เป็นปัญหาของชาวปลังเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็มักจะถูกข่มเหงและเอารัดเอาเปรียบอยู่เสมอ
Ø การศึกษา เนื่องจากความเป็นอยู่ที่ห่างไกลความเจริญ อีกทั้งไม่มีหน่วยงานใดที่สนับสนุนในด้านนี้จึงทำให้ขาดการพัฒนาในด้านต่างๆ
อีกทั้งบรรดาผู้ปกครองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าที่ควรในการสนับสนุนบุตรหลานของตนไปโรงเรียน
ชื่อ ที่อยู่และที่ติดต่อของผู้ให้ข้อมูล
คริสตจักรปลังนครปฐม 145 หมู่ 3 ต.นราภิรมย์ อ.บางเลน จ.นครปฐม 73130
(
ผป.ประสิทธิ์ ธงทัศวรรธนะ
)
ประธานธรรมกิจคริสตจักรภาคที่ 11
แห่งมูลนิธิสภาคริสตจักรในประเทศไทย